รวม 5 หนังสือ
WOMEN POWER
จากปลายปากกานักเขียนหญิง

ทุกคนเคยลองสังเกตกันไหมคะว่าหนังสือที่ชอบอ่านหรือเหล่าหนังสือที่อยู่ในกองดองของทุกคน มีหนังสือกี่เล่มที่มาจากปลายปากกาของนักเขียนผู้หญิงแฝงอยู่บ้างหรือไม่ ในปัจจุบันชื่อของนักเขียนหญิงเริ่มมีพื้นที่มากขึ้นในหนังสือหลากหลายประเภท ไม่ได้มีอยู่แค่ในชั้นของ Genre นิยายโรแมนซ์อีกต่อไป นอกจากนี้ในพื้นที่ของงานรางวัลด้านวรรณกรรมทั้งระดับในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งหลายรางวัลถูกจับตามองและได้รับการพูดถึง ก็มีชื่อของนักเขียนหญิงเข้ามายืนบนแท่นรับรางวัลมากขึ้นไปด้วย ถือเป็นข้อดีเพราะเมื่อนักเขียนหญิงมีพื้นที่มากขึ้น เสียงของตัวละครหญิงก็ได้พื้นที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

เนื่องใน “วันสตรีสากล” (International women’s day) เพื่อรำลึกถึงการต่อสู้การเรียกร้องสิทธิ ยกระดับความเท่าเทียมของผู้หญิง ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ของผู้หญิงทุกยุคทุกสมัย หนังสือและปลายปากกาเป็นอีกทางที่ถูกใช้ต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีในสังคมอย่างแพร่หลายเช่นกัน แม้วันนี้สังคมเราจะก้าวไปไกลแล้ว แต่เรื่องราวเหล่านี้ ใครจะเขียนจนทำให้เราเข้าใจและมองเห็นโลกของผู้หญิงได้ดีที่สุดถ้าไม่ใช่นักเขียนหญิง

แสนสิริเราเลยหยิบหนังสือจากปลายปากกาของนักเขียนหญิงเลื่องชื่อในปัจจุบัน ที่ได้ร้อยเรียงเรื่องราว และถ่ายทอดความเป็นผู้หญิงผ่านตัวละครหลักในหนังสือของพวกเธอมาฝากกันค่ะ ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนที่การันตีรางวัลชื่อดังอย่างโนเบลสาขาวรรณกรรม นักเขียนหน้าใหม่ที่สะท้อนสังคมผ่านงานเขียน หรือนักเขียนหญิงของไทยที่ได้รับรางวัลระดับประเทศสองสมัยมาแนะนำให้ทุกคนอ่านหรือเพิ่มเข้าลิสต์ชั้นหนังสือกันค่ะ ถ้าใครเคยอ่านงานของนักเขียนหญิงเหล่านี้บ้างแล้ว มีหนังสือเล่มโปรดเล่มอื่นๆ ก็มาคอมเมนต์แนะนำที่ใต้โพสต์นี้ได้เลยค่ะ

ถ้าใครกำลังมองหาพื้นที่สำหรับผ่อนคลายในวันหยุดแบบนี้ นอนอ่านหนังสือเล่มโปรด หรือเครียร์กองดองในชั้นหนังสือจนหมดวันได้อย่างสุขใจอยู่ตอนนี้ ที่แสนสิริ เราก็มีโครงการหลากหลายรูปแบบให้ทุกคนได้เข้ามาลองหามุมปล่อยใจ เอนหลังบนที่นุ่มๆ ในโครงการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณได้ครบทุกรูปแบบอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือคอนโดมิเนียม หลากหลายสไตล์ให้ลองเข้ามาเลือกสรรค์กันค่ะ

The Vegetarian”

ฮัน คัง เขียน

มินตรา อินทรารัตน์ แปล

สำนักพิมพ์ Page

หนังสือจากนักเขียนเอเชียคนแรกที่ได้รับรางวัล Man Booker International Prize และนักเขียนชาวเอเชียคนแรกที่ได้รับรางวัล Nobel Prize สาขาวรรณกรรม ฮัน คัง ถูกยกยก่องว่าเป็นผู้อุทิศตนเพื่องานเขียนและศิลปะ ผลงานของเธอก้าวข้ามพรมแดนและขีดจำกัดต่างๆ ในสังคม โดยมีเรื่องราวหลากหลายประเภท การใช้ความรุนแรง, ความโศกเศร้า, และวัฒนธรรมปิตาธิปไตยหรือชายเป็นใหญ่ในสังคมเกาหลี ที่ถ่ายทอดผ่านตัวอักษรออกได้เป็นอย่างดี

The Vegetarian เล่าเรื่องชีวิตของ ‘ยองฮเย’ ที่ตัดสินใจเลิกกินเนื้อรวมถึงเอาเนื้อสัตว์ในตู้เย็นไปทิ้งทั้งหมดหลังจากฝันร้ายเกี่ยวกับการฆ่าสัตว์ แต่การตัดสินใจของเธอนำไปสู่ความตึงเครียด ความขัดแย้งในชีวิตครอบครัวและชีวิตสมรส เพราะการกินมังสวิรัติในเกาหลีไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากวัฒนธรรมการกินของเกาหลีนั้นผูกติดกับการกินเนื้อสัตว์ ทำให้เธอค่อยๆ แยกตัวออกจากสังคมและดำดิ่งเข้าสู่โลกของตัวเองที่เธออยากเป็นต้นไม้จากการหันไปกินมังสวิรัติ จนถูกสังคมมองว่าเป็นคนแปลกประหลาด ทำให้ยองฮเยกลายเป็นคนชายขอบและถูกผลักออกไปจากสังคม ที่นำพาไปสู่การคุกคามทางเพศรวมถึงปัญหาด้านจิตเวช 

สิ่งที่เห็นชัดที่สุดในหนังสือเล่มนี้คือปฏิกิริยาของคนในสังคมเกาหลีใต้ต่อคนที่กินมังสวิรัติ ยิ่งตัวยองฮเยที่เป็นผู้หญิงในสังคมชายเป็นใหญ่ก็ยิ่งถูกตอกย้ำความเป็นพลเมืองชั้นสองในสังคมที่ไร้อำนาจต่อรอง แต่การกระทำของยองฮเยในหนังสือกลับสะท้อนถึงการต่อต้านอำนาจและกรอบสังคมที่กดขี่ผู้หญิงออกมาได้ดีอย่างเงียบงัน

“The Poppy war สงครามดอกฝิ่น”

Rebecca F. Kuang เขียน

วัชรวิชญ์ และ อัควีร์ แปล

สำนักพิมพ์ Words Wonder

หนังสือจากนักเขียนหญิงรุ่นใหม่ ที่การันตีผลงานมากรางวัล เจ้าของรางวัล เนบิวลา โลคัส ครอว์ฟอร์ด และบริติชบุ๊คอวอร์ดส์ จุดเด่นในงานเขียวของควง คือ การเล่าเรื่องผ่านตัวละครผู้หญิงที่หลากหลาย ทั้งตัวละครที่เฉลียวฉลาด มีไหวพริบ แม้บางทีจะเปราะบางแต่ยังแสดงถึงความไม่สยบยอม ไม่ขอร้องอ้อนวอนเพื่อชีวิต แต่ตัวละครของควงต้องการอำนาจและพร้อมจะพังทุกอย่างที่ขวางหน้าเพื่อให้ได้อำนาจนั้นมาแทน และยังพ่วงประเด็นแง่มุมความเจ็บปวดของเพศหญิงและการเผชิญอคติทางเชื้อชาติเข้ามาได้อย่างกลมกล่อม

The Poppy war เป็นนิยายแนว Historical Fantasy-Retelling เล่าเรื่องของ ‘ริน’ เด็กกำพร้าจากสงครามที่ถูกเลี้ยงมาโดยครอบครัวหนึ่ง โดยครอบครัวนี้เป็นคนค้าขายฝิ่น วันหนึ่งก็อยากจะส่งรินออกไปแต่งงานกับนายหน้าอีกเมือง ทำให้รินเลือกไปสอบเข้าสำนักศึกษาวิชาทหารในเมืองหลวงเพื่อหนีการแต่งงาน ทำให้รินต้องทุ่มเทและแก่งแย่งแข่งขันกับบรรดาลูกขุนศึกที่เกิดมาเพื่อเป็นทหาร แม้ในช่วงนั้นจักวรรดินิกานจะดูสงบสุข แต่สงครามดอกฝิ่นครั้งที่สามก็เกิดประทุขึ้น รินที่มีพลังอำนาจเหนือมนุษย์ที่สามารถอัญเชิญเทพวิหคอัคคีมาสู๋โลกจะช่วยกอบกู้สงครามนี้ได้ไหม ในโลกที่เต็มไปด้วยสงคราม การทรยศหักหลัง การวางแผนและการเมืองสุดเข้มข้น ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือการแฝงประเด็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการล่าอาณานิคมในเรื่อง ที่ทำให้เราเข้าใจความเจ็บปวดรวมถึงความน่ากลัวของสงครามได้อย่างแท้จริง 

“BELOVED”

โทนี มอริสัน เขียน

รังสิมา ตันสกุล แปล

สำนักพิมพ์ Library House

หนังสือจากนักคิดและนักเขียนระดับตำนาน เจ้าของรางวัลพูลิตเซอร์ ค.ศ. 1988 และเจ้าของรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม มอริสันเป็นนักเขียนแอฟริกัน – อเมริกันคนแรกและคนเดียวที่ได้รางวัลในสาขานี้ โดยผลงานและความคิดของเธอมักจะเกี่ยวข้องกับการกดขี่และการโต้กลับ รวมไปถึงการแสวงหาความหมายของชีวิตในความซับซ้อน ที่มีการตั้งคำถามผ่านงานเขียนถึงมนุษย์ที่มีชีวิตอันแสนเจ็บปวดกับความทรมานแสนสาหัสจากการโดนกดทับบนระบบความเชื่อ และคติทางวัฒนธรรมของชาวแอฟริกัน – อเมริกัน นั้นคือสิ่งที่ควรค่าแก่การบอกเล่า เรียนรู้ และเป็นที่จดจำในสังคม เพื่อท้าทายต่ออำนาจของคนขาวและอำนาจของผู้ชาย รวมถึงการกีดกันในกลุ่มผู้หญิงด้วยกันเองเช่นกัน

BELOVED สร้างขึ้นมาจากเค้าโครงเรื่องประวัติศาสตร์จริงของ ‘มาร์กาเร็ต การ์เนอร์’ ถูกนำมาถ่ายทอดผ่านตัวละครหลัก ‘เซเธอ’ ในปี ค.ศ. 1873 ช่วงหลังสงครามกลางเมืองอเมริกา (American Civil War) กับลูกสาวคนสุดท้องชื่อว่า ‘เดนเวอร์’ ที่รอดจากการทำทารกฆาต เซเธอตัดสินใจหลบหนีจากการปกครองของนายทาสและเดินทางข้ามเส้นพรมแดน จากรัฐเคนทักกีไปสู่รัฐโอไฮโอ รัฐทางตอนเหนือที่คนผิวดำสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเสรี แต่ชีวิตของเซเธอกับสมาชิกในบ้านกลับถูกตามหลอกหลอนด้วยวิญญาณร้ายจากเหตุการณ์ ‘ทารกฆาต’ ที่เปรียบเหมือนกับตัวแทนของความทรงจำที่ยังหลอนหลอเธอและเหล่าทาสคนผิวดำอยู่ ที่แม้ว่าจะมีการยกเลิกระบบทาส แต่ความเจ็บปวดจากการถูกกระทำนั้นคือเรื่องจริง และความโหดร้ายในอดีตยังคงตามหลอนหลอกจนยากที่จะลืม 

นวนิยายเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายให้เรารับรู้และตั้งคำถามต่อศีลธรรม จริยธรรม สังคมปิตาธิปไตย ว่า ‘บ้าน’ ที่พักอาศัยร่วมกันแต่ทำไมคนที่อาศัยใต้ร่วมชายคาเดียวกันถึงถูกปฏิบัติไม่เหมือนกัน ทั้งที่ความจริงแล้ว บ้านที่ดีคือบ้านที่ทุกคนควรมีความสุขเท่ากัน ใช้ชีวิตเหมือนกัน และมีสิทธิเสรีภาพ ความเท่าเทียมที่เท่ากัน

“ต้นไม้ของแวมไพร์”

ปริมพัชร เขียน

สำนักพิมพ์ ประพันธ์สาส์น

หนังสือที่ชนะเลิศรางวัลชมนาด ครั้งที่ 13 เป็นการประกวดวรรณกรรมรางวัลสำหรับนักเขียนหญิงที่จัดขึ้นทุกปี เพื่อสนับสนุนนักเขียนสตรีให้ก้าวสู่การเป็นนักเขียนระดับสากล และช่วยทำการตลาดด้านลิขสิทธิ์นำไปสู่ภาษาต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งงานเขียนมีเนื้อหาแหวกขนบ พร้อมทั้งมีความคิดสร้างสรรค์ ในขณะเดียวกันก็ยังสะท้อนสังคมปัจจุบันที่มีความขัดแย้งทั้งในเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจ ทำให้ได้เห็นถึงพลังของผู้หญิงในงานเขียนที่ผสมผสานทั้งความละเอียดอ่อนและความทรงพลังในเวลาเดียวกัน

มีเหตุผลใดที่แวมไพร์จะยอมละอมตภาพ ต้นไม้ของแวมไพร์เป็นนวนิยายแนวแฟนตาซีที่นำเสนอเรื่องราวของแวมไพร์สาวนิรนามผู้มีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ เชื่อมโยงเนื้อเรื่องกับแนวคิดเชิงพุทธปรัชญาที่ลุ่มลึก เพราะแวมไพร์สาวเธอแตกต่างจากแวมไพร์ทั่วไปที่ไม่ได้ดูดเลือดเป็นอาหาร แต่สหายคู่ใจของเธอคือภูตต้นไม้สาวที่บอกว่าเธอมีชีวิตเป็นนิรันดร์เช่นกัน เธอจึงเดินทางไปในโลกกว้างเพียงลำพังเพื่อแสวงหาความหมายของชีวิตและบรรเทาความเบื่อหน่ายในชีวิต การผจญภัยนี้เป็นจุดเริ่มต้นของประสบการณ์ที่มีทั้งความรักและการพลัดพราก ความหลง กามราคะ ความเคียดแค้น การต่อสู้และการสูญเสีย การเกิดและ การดับ ในที่สุดเธอจึงได้ตระหนักรู้ว่าแม้จะเดินทางไปนับพันปีจนสุดขอบโลก หากยังได้เดินทางเข้าไปในตัวตนภายในและยังคงการยึดมั่นในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสซึ่งล้วนเป็นสิ่งปรุงแต่ง ความเป็นอมตะก็ไร้ความหมาย

“พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ”

วีรพร นิติประภา เขียน

สำนักพิมพ์ แพรว

นักเขียนหญิงคนแรกในประวัติศาตร์ไทยที่ได้รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (S.E.A. Write) ถึง 2 สมัย   เอกลักษณ์งานในตัวอักษรของคุณวีรพร คือการบันทึกเศษเสี้ยวประวัติศาสตร์แบะสถานที่ใดสถานที่หนึ่งไว้ในชีวิตของตัวละครอยู่เสมอ ล้วนเป็นภาพฉายว่าคนตัวเล็กและคนชายขอบเป็นผู้แบกรับบาดแผลของสังคมไว้ตลอดมา ผ่านอักษรที่ลุ่มลึก ภาษาที่ละเมียดละไมงดงาม และโยงประวัติศาสตร์กับยุคสมัยได้อย่างน่าติดตาม ผ่านเนื้อเรื่องที่มีน้ำหนักและพลังในการทำให้คุณหัวเราะได้ ร้องไห้ และซาบซึ้งได้ในทุกตัวอักษร

พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ นวนิยายชื่อยาวว่าด้วยโศกนาฏกรรมของครอบครัวชาวจีนอพยพ ซึ่งใช้ชีวิตผ่านเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ต่างๆ นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองไปจนถึงยุคสงครามเย็น และได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว บนเส้นทางของการสร้างครอบครัวและขยับขยายฐานะ พวกเขาต้องผ่านพบความแปรผันหลายประการทั้งบนแผ่นดินไทยและแผ่นดินบ้านเกิด ดังสายน้ำแห่งโชคชะตาที่คอยซัดพรากแต่ละคนให้สาบสูญไปคนละทิศละทาง หนังสือพาเราดำดิ่งไปกับประวัติศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ที่ส่งผลกระทบให้ชีวิต ความรัก ต้องระหกระเหินเกินบรรยาย ครอบครัวจีนอพยพที่พยายามตามหา “บ้าน” ทั้งในความหมายของสถานที่และบ้านภายในจิตใจ ซึ่งตัวละครก็รู้สึกไปในทางเดียวกันว่าไม่อาจหยัดยืนได้อย่างเต็มตัวในพื้นที่ใด ๆ ในสังคมได้อย่างแท้จริง จะเดินต่อก็แปลกแยกแต่จะหวนกลับก็ไม่อาจย้อนคืนได้แล้ว

CONTRIBUTOR

Related Articles

J Festival

J Festival ถือศีลกินผัก 200 ปี แห่งศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของจังหวัดภูเก็ต

อีกไม่กี่อึดใจ อีกหนึ่งเทศกาลสำคัญของชาวไทยเชื้อสายจีนก็จะวนมาอีกครั้งทุกปีในช่วงเดือน 9 ตามปฏิทินจีน เทศกาลแห่งความศรัทธาของชาวจีนโพ้นทะเล สู่งานประเพณีที่กลายเป็นอัตลักษณ์สำคัญของจังหวัดภูเก็ต อย่าง ‘เทศกาลกินเจ’ หรือ ‘ถือศีล กินผัก’ นั่นเองค่ะ ศาลเจ้าทั่วภูเก็ตจะเต็มไปด้วยผู้คนที่เข้าร่วมพิธีชำระกายใจ ผ่านการงดรับประทานเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ รวมถึงผักฉุน 5 ชนิด และอาหารรสจัดทุกประเภท รวมถึงการรักษาศีลห้า งดการใช้ความรุนแรงและคำหยาบ

Rich Movement

Rich Movement! ร่วมไขข้อข้องใจ แต่ละยุคสมัยอวดรวยกันด้วยอะไร?

#วัฒนTrend  เคยไหมที่ช่วงนี้ที่หลายครั้งเราเข้ามาไถหน้าโซเชียล หนึ่งในโพสต์ที่มักผ่านตาบ่อยๆ คือโพสต์ที่เกี่ยวข้อกงับการรีวิวชีวิตหรือสิ่งของหรูหรา ที่แค่ดูผ่านหน้าจอก็ไม่สามารถตีราคาประสบการณ์ที่ได้รับนั้นได้เลย หรือเรียกแบบติดปากกันว่า “การอวดรวย” นั่นเองค่ะ ยิ่งพอเราอยู่ในยุคที่อะไรก็อยู่บนโลกโซเชียลมีเดียที่เร็วไปหมด ทำให้เราได้เห็นภาพไลฟ์สไตล์การอวดจากอินฟลูหลากหลายสัญชาติ ที่เรียกได้ว่าเป็นอะไรใหม่ๆ ไม่เคยเห็นมาก่อนและชวนน่าติดตามมากๆ ค่ะ ว่าการอวดนี้จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน และมีใครบ้างที่ได้ครอบครองสิ่งของเหล่านี้ แสนสิริจึงอยากพาทุกคนไปร่วมไขข้อข้องใจด้วยกันว่าแต่ละยุคสมัยเขาอวดรวยกันด้วยอะไรบ้าง ซึ่งมีทั้งของที่คาดไม่ถึง และไม่สามารถคาดเดาได้ หลายอย่างก็น่าแปลกใจว่ายุคนี้เขาอวดรวยกันด้วยสิ่งนี้…? และแม้กาลเวลาจะผ่านไปร่วมทศวรรษ

this house tastes

บ้านนี้เทสต์ดีเนอะ ส่องวิธีโชว์ความเทสต์ดีของแต่ละประเทศ

#วัฒนTrend ช่วงนี้ใครกำลังมองหาบ้านอยู่บ้างไหมคะ ทำให้บางทีเราผ่านบ้านในละแวกต่างๆ ไม่ว่าจะท่องเที่ยวอยู่ในประเทศหรือไปต่างประเทศ ช่วงเวลาที่ได้ไปเดินในแหล่งชุมชนก็อดชมถึงเจ้าของบ้านหลังนั้นๆ ไม่ได้ว่า บ้านสวยจัง บ้านนี้เทสต์ดีเนอะ เจ้าของเขามีเทสต์จัง✨ ในการเลือกวัสดุ เฟอร์นิเจอร์ รวมไปถึงองค์ประกอบต่างๆ ของบ้านที่สะท้อนมาจากตัวตนและความชื่นชอบของเจ้าของบ้านได้อย่างดีให้เราได้เห็นผ่านบ้าน แต่ทุกคนรู้ไหมคะว่าในการแต่งบ้านจนออกมามีเทสต์ได้นั้น หลายๆ ชิ้นงานหรือรูปแบบการออกแบบก็ได้แรงบันดาลใจมาจากรากเหง้าของวัฒธรรมและสังคมของประเทศต่างๆ ด้วยเช่นกันค่ะ วันนี้แสนสิริอยากชวนทุกคนไปส่องวิธีโชว์ความเทสต์ดีของแต่ละประเทศด้วยกันค่ะ โดยเราได้หยิบยกประเทศที่โชว์ความเทสต์ดีให้เราเห็นผ่านสังคมและวัฒนธรรมที่แอบซ่อนอยู่ไม่ว่าจะสิ่งของ เครื่องประดับ